การกำจัดความสูญเสีย 7 ประการ
- Natrucha Siangthed

- 1 เม.ย. 2565
- ยาว 2 นาที

การกำจัดความสูญเสีย (7 Waste) เป็นกุญแจดอกหนึ่งในระบบ Lean Manufacturing เป็นระบบกำจัดความสูญเสียและปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกิจกรรมหรืองานที่ดำเนินการ ข้อเสียจากการมี 7 Waste คือ ใช้เวลาการผลิตนาน สินค้ามีคุณภาพต่ำ และต้นทุนสูง กระบวนการผลิตมักจะพบว่ามีความสูญเสียต่างๆแฝงอยู่ไม่มากก็น้อย ซึ่งเป็นเหตุให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงมีแนวคิดเพื่อพยายามจะลดความสูญเสียเหล่านี้เกิดขึ้นมากมาย แนวคิดหนึ่งที่คิดค้นโดย Mr.Shigeo Shingo และ Mr.Taiichi Ohno คือ ระบบการผลิตแบบโตโยต้า (Toyota production system) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดความสูญเสีย 7 ประการ7 waste นั้นเป็นแนวคิดของToyota ซึ่งต้องการที่จะลดความสูญเสียที่ซ่อนอยู่ในกระบวนการผลิต เป็นสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัท และไม่ทำให้เกิดกำไร แต่ก็ยังใช้ต้นทุนอยู่ตลอดเวลา Toyota จึงพยายามลดความสูญเสียทั้ง7 ที่เกิดขึ้น เพื่อลดต้นทุนในการผลิตที่เกิดขึ้นอย่างไม่จำเป็น
และเราได้นำแนวคิดดังกล่าว มาประยุกต์ใช้ในองค์กรเพื่อให้องค์กรหรือบริษัทของเรานั้น มาประยุกต์ใช้ ในการกำจัดความสูญเสีย ในงานก่อสร้าง และปรับปรุงคุณภาพของการทำงานในองค์กรอย่างต่อเนื่อง ในกระบวนการโครงสร้าง และขั้นตอนการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานที่ดำเนินการทุกๆโครงการของเรา

คือ "การสูญเสียจากการขนส่ง" หมายถึงบางครั้งที่คุณสั่งของแทนที่จะสั่งรอบเดียว แต่ปรากฏว่าคุณวางแผนสั่งผิดพลาด หรือ ระหว่างทำงานพึ่งนึกได้ว่าขาดนั้นขาดนี่ ทำให้ต้องสั่งของเป็นครั้งที่ 2 ที่ 3 หรือซื้อของมาแล้ว ปรากฏว่าซื้อมาไม่ครบก็ต้องไปซื้อเพิ่ม กลายเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งเหล่านี้มากขึ้น
Transportation Waste ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการขนส่งของมาที่ไซต์งานเท่านั้น รวมถึงการขนส่งของหรือเคลื่อนย้ายวัสดุก่อสร้างและเครื่องมือต่างๆไปมากัน "ภายในไซต์งานด้วย"ตัวอย่างงานปูกระเบื้อง สมมุติว่าลงกระเบื้องไว้ผิดที่ ดันไปอยู่คนละชั้น ทำให้ช่างต้องย้ายของไปมาโดยใช่เหตุ ลักษณะนี้ก็เป็นความสูญเสียด้านการขนส่งเช่นกัน
แน่นอนว่าเราไม่สามารถลด Transportation Waste หรือความสูญเสียที่เกิดจากการขนส่งได้ 100% แต่เราควรมีการวางแผนให้พอเหมาะสมกับการใช้งานให้ดีที่สุด เพราะนอกจากเสียเวลา
และค่าใช้จ่ายมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้มีโอกาส"วัสดุเสียหายระหว่างการเคลื่อนย้าย" อีกด้วย

คือ "ความสูญเสียจากการจัดเก็บวัสดุ" หรือ
"วัตถุดิบคงคลัง" มีหลายคนคิดว่าเวลาคุณซื้อของจากร้านหรือสั่งของจากซัพพลายเออร์ถ้าซื้อในปริมาณครั้งละเยอะ ๆ แล้วจะได้ราคาต่อหน่วยที่ถูกลง หรือวัสดุบางอย่างจะต้องสั่งในปริมาณขั้นต่ำหรือยกกล่องยกม้วนก็ตาม
แต่หลายครั้งพบว่ามันทำให้คุณเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น เมื่อซื้อมาเยอะแล้วถูกใช้งานไม่หมดเหลือให้เป็นภาระการจัดเก็บ ยกตัวอย่างปูนซีเมนต์ถุง ที่เราสั่งมาแล้วคุณมีการจัดเก็บที่ไม่ดีแล้วถ้ามัน "เสื่อมสภาพ" ปูนแข็ง หรือกระเบื้องที่สั่งมาเกินแล้วคืนกลับร้านไม่ได้ก็ "ต้องหาที่จัดเก็บ" ส่วนใหญ่ก็ใช้งานอะไรต่อไม่ได้ ทำให้เกิดความสูญเสียจากการจัดเก็บวัสดุได้เช่นกัน
ฉะนั้นถ้าคุณสั่งวัสดุอะไรก็ตาม คุณต้องมีการประมาณการใช้งาน และระยะเวลาที่ต้องการ
ใช้งานอย่างเหมาะสมมากที่สุด เพราะของที่เราซื้อมาแล้ว ต้องมีการ "จัดเก็บรักษาอย่าง
ถูกต้องเหมาะสม" เพื่อให้มันไม่เกิดความเสียหายหรือการสูญหายได้ รวมถึงการเบิกจ่ายวัสดุต่างๆต้อง "ไม่ให้ตกหล่นเสียหาย" ระหว่างทางด้วย

คือ "ความสูญเสียจากการเคลื่อนไหว"
หมายถึงว่า การที่คนงานหรือช่างคนหนึ่งกำลังยกของ กำลังก่ออิฐฉาบปูน เดินหาของ หรือทำอะไรก็ตาม มันจะเกิดความสูญเสียจากการเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสมเสมอ
โดยปกติถ้าเป็น "ช่างที่ทำงานมานาน" ก็จะมีความชำนาญ ส่วนใหญ่จะรู้ว่าในการทำงานจะหยิบจับอะไรของวางตรงไหน หรือจะใช้เครื่องมืออะไรก็จะคล่องแคล่ว ทำให้ใช้เวลา"ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ" มากกว่า"ช่างมือใหม่" หลายครั้งรู้สึกว่าทำงานทั้งวันแต่ทำไม "งานที่ออกมาน้อยกว่าคนอื่น" นี้แหละเพราะเกิด Motion Waste มีการเคลื่อนไหวเกินความจำเป็น รวมถึงเวลาที่คนงานเดินไปเดินมาในในไซด์ ไม่ว่าจะหาของหาเครื่องมือประสานงานต่างๆ พวกนี้ก็จะเป็นความสูญเสียของคุณได้เช่นกัน
ฉะนั้นสิ่งเราทำได้คือ "การควบคุมงาน" มีการย้ำเตือนทีมงานเราเสมอ ตั้งแต่การเริ่มทำงานในแต่ละวันให้มีการ "วางแผนทุกอย่างก่อนเริ่มงาน"ประเมินสิ่งที่จะทำว่า "จำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์"หรือ "เครื่องมือเครื่องจักร" อะไรบ้าง และวิธีการ"ขั้นตอนการทำงาน" อย่างไร เตรียมไว้ให้พร้อมก็จะเป็นการช่วยลดการเคลื่อนไหว ทำให้ลดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพงานของเราในแต่ละวันได้

คือ "ความสูญเสียจากการรอคอย"
หมายถึง เมื่อไหร่ที่หน้างานคุณมีการหยุดด้วยเหตุผลบางประการหรือสถานการณ์ใดก็ตามทำให้เกิดเวลารอคอย ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ต้องรอของเข้าหน้างาน รอขั้นตอนก่อนหน้าที่ยังไม่เรียบร้อย หรือ อาจจะตรวจไม่ผ่านรอแก้ไขงาน การรอเคลียร์แบบ รอข้อมูล ฯลฯ
ไม่ใช่แค่เกิดความสูญเสียในการทำงานเท่านั้นรวมถึงเมื่องานแต่ละขั้นตอนช้าลง ระยะเวลาก่อสร้างก็จะช้าลง หมายความว่าคุณก็จะสูญเสียโอกาสที่จะมีงานใหม่ได้ลูกค้าเข้ามาเพิ่ม หรืออาจจะต้องมาชดเชยเรื่องค่าปรับงานล่าช้าต่างๆด้วย ฉะนั้นคุณต้องมีความสามารถในการวางแผนและวางขั้นตอนการทำงานให้ดี ทำการเตรียมวัสดุเครื่องมือต่างๆให้พร้อม เพื่อไม่ให้เกิดการรอคอยในแต่ละส่วนงานให้ราบรื่นมากที่สุด เพราะเมื่อ"ระยะเวลาก่อสร้างเร็วขึ้นนั้น หมายถึงเม็ดเงินกำไรของคุณที่เพิ่มขึ้น" ตามมาด้วย

คือ "ความสูญเสียในกระบวนการก่อสร้าง"
เป็นสิ่งที่เกิดจากการทำงานโดยไม่จำเป็น หรือไม่เกิดคุณค่าให้งานเพิ่มขึ้น ในงานก่อสร้างนั้นหลาย ๆ ขั้นตอน แทนที่คุณจะทำเสร็จแล้วทำขั้นตอนต่อไป แต่กลับต้องมา "ทำงานที่ซ้ำซ้อน"หลายต่อหลายครั้ง ทำให้เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น
ยกตัวอย่างขั้นตอนงานทาสี โดยปกติขั้นตอนการทำงานนี้ จำเป็นต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมเสียก่อน แต่ปรากฏว่าเมื่อช่างทาสีเสร็จแล้ว กลับมียังมีงานแก้ไขผนังหรือฝ้าก็ตาม หรือขั้นตอนก่อนหน้ามันยังไม่เรียบร้อยกลายเป็นว่า "ไม่สามารถทำงานขั้นตอนอื่นต่อไป หรือส่งงานลูกค้าได้"
ฉะนั้นพวกนี้ ถ้าเวลาที่เราไม่ได้วางแผนให้ดี"ไม่มีการเช็คตรวจสอบให้ดีก่อน" หรือไม่ทำงานตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ทำให้กลับต้องมา "เสียทั้งเงินและยังทำให้เสียเวลา"จากการสูญเสียจากทำงานซ้ำซ้อนนี้ด้วย

คือ "ความสูญเสียจากการก่อสร้างมากเกิน"
โดยความหมาย คือ ความสูญเสียที่เกิด
จากการผลิตที่มากเกินความต้องการลูกค้า
เช่น ของที่ทำมามากเกินไปขายออกไม่ได้
หรือหมดอายุก่อนทำให้ใช้งานไม่ได้ เป็นต้น
สำหรับ "งานก่อสร้างอาจจะไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก"แต่ถ้าเกิดขึ้นจะมี "มูลค่าสูญเสียที่ค่อนข้างสูง"ตัวอย่าง เช่น งานรับเหมาก่อสร้างบ้านกับโครงการจัดสรร ผู้รับเหมาอาจคิดว่าการรับงานหลายหลังพร้อมกัน แล้วต้นทุนที่ได้จะต่ำๆแต่ถ้าเมื่อไหร่โครงการเกิดปัญหาไม่มีผู้ซื้อขายไม่ออก หรือเจ้าของโครงการมีปัญหาการเงิน ย่อมกระทบต่อผู้รับเหมาเราแน่นอนรวมจนถึงกรณีที่ผู้รับเหมาเรามี "งานเพิ่มเติม"จากโครงการที่ทำอยู่ โดยคิดว่าทำไปก่อนอาจคิดว่าได้ทำทีเดียวต้นทุนได้ต่ำลง หรือเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ถ้าคุณไม่ได้มีข้อตกลงหรือทำสัญญากันก่อน แล้วลูกค้าอาจคิดว่าไม่มีค่าใช้จ่าย หรือคิดว่าราคาจะถูกกว่านี้กลายเป็นว่างานที่เพิ่มนั้นอาจขาดทุน หรือไม่สามารถเก็บเงินได้เลย
ฉะนั้นไม่ว่าเราจะรับงานมากน้อยแค่ไหน หรือมีงานเพิ่มเติมอะไรก็ตาม เราต้องคิดประเมินความเสี่ยง วางแผน ที่สำคัญคือ "การทำสัญญา"ข้อตกลงต่างๆให้ดีกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กน้อยก็ตาม

คือ "ความสูญเสียจากของเสีย/การแก้ไขงาน"เวลาก่อสร้างคุณจะมีการสั่งงานเคลียร์แบบให้ทีมงานทุกคนอยู่แล้วว่า ขั้นตอนการทำงานอย่างไรงานจะออกมาแบบไหน แต่ถ้าเกิดทำผิดพลาดเกิดข้อบกพร่องหรือส่งงานไม่ผ่าน กลายเป็นว่างานส่วนนั้นต้องมีการแก้ไข เกิดความสูญเสียจากของเสีย ย่อมทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ในงานก่อสร้างนั้นมีการแก้ไขงานหลายระดับตั้งแต่ "การเก็บงาน" (Defect Work) คือการเก็บรายละเอียดให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เช่นเก็บงานที่ใกล้จะเสร็จ งานสี งานเก็บกระเบื้องเป็นต้น หรือ ถ้าสูญเสียขึ้นมาหน่อยก็จะเป็น"การแก้ไขซ่อมแซม" (Repair) เช่น งานหลังคารั่วใช้งานไม่ได้ ก็ต้องแก้ไขให้ลูกค้าใช้งานได้
แต่ถ้างานที่ผิดพลาดจนไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ หรือต้อง "รื้อทำใหม่" (Renew) เช่น
"งานปูน" ที่เมื่อก่อฉาบแล้วแก้ไม่ได้ ต้องทุบต้องรื้อ ย่อมทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น ลักษณะนี้
ก็จะเป็นอะไรที่ "น่ากลัวมากสำหรับผู้รับเหมาเรา" แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้มันอาจจะป้องกันไม่ให้เกิดทั้งหมดได้ยาก ฉนั้นก่อนที่จะทำงานอะไรให้มีการวางแผน เคลียร์งาน "ขั้นตอนการทำงาน"
"กำหนดมาตรฐาน" ที่สำคัญคือ "การควบคุมงาน"ก่อสร้างทุกขั้นตอนให้ดีที่สุด ก็เพื่อเป็นการ
ลดต้นทุนส่วนนี้ให้กับธุรกิจคุณเอง
#8SkillWaste (+1Waste)

คือ "ความสูญเสียจากการใช้ทักษะแรงงาน""ปัจจุบันมันไม่ได้มีแค่ 7-Waste" แต่ยังมี"Waste เรื่องคน" เพิ่มเข้ามาอีก 1 ข้อด้วยเพราะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือความสูญเสียจากการใช้คนทำงานไม่ให้เกิดประสิทธิภาพหรือ การใช้งานที่ไม่เหมาะสมกับคนนั้นๆได้
ยกตัวอย่าง คุณให้คนงานคนนึงมาทำงานหลายครั้งคุณให้เขาไป "ทำงานเลย" โดยที่ยังไม่ได้คุยงานสอนงาน เคลียร์งานให้เขาก่อนแม้กระทั่งคุณยังไม่รู้เลยว่า "เขาถนัดงานไหน""มีทักษะหรือทำงานนั้นได้มั้ย" มันหมายถึงคุณจะไม่สามารถควบคุมและ "ฝากความเสี่ยงงาน"ของคุณเอาไว้กับคนนั้นๆ นั้นหมายถึงเกิดโอกาสที่เขาสร้างความสูญเสีย 7-Waste ทั้งหมดที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ได้เลย ฉะนั้นข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะอย่าลืมว่างานรับเหมาหรืองานก่อสร้าง "หัวใจคือเรื่องคน"
ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ คุณต้องพยายาม"สร้างระบบการทำงาน" "ขั้นตอนการทำงาน"อะไรบางอย่าง ที่พอคุณเริ่มสร้างระบบอะไรบางอย่างเสร็จ คุณก็ทำการอบรมทีมงานช่างหรือคนงาน ให้พยายามทำตามระบบที่คุณได้วางไว้ ยิ่งถ้าคุณสามารถทำครอบคลุมทุกส่วนงานได้ คุณก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่เกิดได้ดีขึ้นได้ แต่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก
ขอบคุณ cr.ผู้รับเหมาพันธุ์ใหม่ Contrepreneur , wisdommaxcenter.com








ความคิดเห็น